วัดบ้านไร่ นั้นถึงแม้ว่านักบุญแห่งที่ราบสูง อย่าง หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ท่านจะได้ละสังขาราจากโลกนี้ไปนานแล้ว เราแต่เชื่อว่าคำสอน รวมไปถึงคุณงามความดีที่ท่านได้ทำเอาไว้เมื่อครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังคงตราตรึงอยู่ในใจชาวไทยเราไปตราบนานเท่านานอย่างแน่นอนครับ และเราเชื่อว่าอีกหนึ่งสถานที่สำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับชีวิตของท่าน ซึ่งก็คือ วัด บ้านไร่ คงเป็นเป้าหมายของใครหลายคนคงอยากไปเที่ยวชมให้ได้สักครั้งในชีวิต
ความเป็นมาของ วัดบ้านไร่
วัด บ้านไร่ นั้นเดิมทีเป็นสำนักสงฆ์ที่มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2436 ซึ่งอยู่ในช่วงของรัชกาลที่ 5 โดยมีพระอาจารย์เชื่อม วิรโช ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก ท่านได้ก่อสร้างศาสนอาคารต่าง ๆ ขึ้นมาภายในวัด และต่อมาในช่วงที่หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส เป็นช่วงที่วัดได้ถูกพัฒนามากที่สุด ด้วยจำนวนของผู้มีจิตศรัทธา และเลื่อมใสในตัวท่านจากทั่วประเทศ ต่างได้ร่วมกันถวายวัตถุปัจจัยเป็นเงินจำนวนมหาศาล หลวงพ่อคูณ ท่านได้ก่อตั้งเป็นมูลนิธิหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ ขึ้นมาเพื่อกิจกรรมสาธารณประโยชน์ต่างๆ เช่น การบูรณะวัด การสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล เป็นต้น
สถานที่สำคัญในวัด
ภายในวัดนั้น มีสิ่งปลูกสร้างที่มีความสำคัญๆ อยู่ด้วยกันหลายอย่าง โดยได้แก่ พระอุโบสถ / พิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ / หอแก้ว / หอระฆัง และหอเทพวิทยาคม เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา (อาคารปริสุทธปัญญา) เป็นต้น
หอเทพวิทยาคม
หอเทพวิทยาคม เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา (อาคารปริสุทธปัญญา) คือสิ่งที่โดดเด่นที่สุดในวัดแห่งนี้ เป็นอุทยานธรรมที่อยู่ใจกลางบึงน้ำขนาดใหญ่ ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2554 ถือว่าเป็นจุดเด่นสำคัญของทางวัดอย่างมาก มีลักษณะเป็นอาคารประติมากรรมช้าง โดยตั้งอยู่บนพื้นที่บึงน้ำที่มีขนาด 30 ไร่ เป็นอาคารที่มีความสูง 5 ชั้น ซึ่งรวมชั้นใต้ดิน (ชั้นบาดาล) และชั้นดาดฟ้า เข้าไปด้วย อาคารนั้นตั้งอยู่บนลานทรงกลมมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 65 เมตร เรียกว่าหอเทพวิทยาคมเป็นพุทธสถานในนิกายเถรวาทที่มีชนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ภายในหอเทพวิทยาคมถูกออกแบบให้เป็น มหาวิหารแห่งพระไตรปิฎก เป็นดินแดนที่รวบรวมพุทธประวัติ พระวินัย และพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้ทั้งหมด เพื่อจรรโลงพระศาสนาให้เป็นไปตามบัญญัติของพระพุทธองค์ ที่นี่จึงเป็นสถานที่แห่งแรกและแห่งเดียวในโลกที่นำเอาพระไตรปิฎกมาแสดงและให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป
นอกจากนี้ หอเทพวิทยาคมยังประกอบขึ้นด้วยโมเสกมากกว่า 20 ล้านชิ้น และใช้แรงงานชาวบ้านเป็นผู้ติดอย่างละเอียดด้วยจิตศรัทธาและสมาธิ เพราะ 1 วัน 1 คน สามารถติดเซรามิกโมเสกชิ้นเล็กที่สุดเท่าเม็ดถั่วเขียวได้เพียงไม่เกิน 1 ตารางเมตร
สิ่งที่น่าสนใจในหอเทพฯ
หอเทพวิทยาคมเป็นอาคารสูงจำนวน 5 ชั้น ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางบึงน้ำ โดยมีความกว้างขนาด 60 เมตร ความยาว 60 เมตร เป็นปริมณฑล ทางด้านอาคารสิ่งก่อสร้างองค์กลางนั้นมีขนาดกว้างถึง 30 เมตร มีความยาว 30 เมตร และมีความสูงถึง 42 เมตร โดยแต่ละชั้นนั้นประกอบไปด้วย
ชั้นใต้ดิน :
เป็นส่วนจัดแสดงเหมือนโลกใต้บาดาลอันศักดิ์สิทธิ์ ผู้เข้าชมสามารถรับของที่ระลึกจากเงินทำบุญที่ได้บริจาคไป ซุ้มของที่ระลึกแบ่งเป็น 2 โซน คือ โซนบริเวณโถงกลาง เรียกว่า ซุ้มของที่ระลึก เป็นการบูชาลูกปัดสีต่างๆ โดยเลือกเสี่ยงทายตามสถานะหรืออาชีพการงานของบุคคลนั้นๆ และถัดมาคือโซนเพชร 7 สี มณี 7 แสง ประกอบไปด้วย เจ็ดสิ่งนำโชคในโลกใต้บาดาล อันมีความหมายมงคลตามความเชื่อ
ชั้นที่ 1 : จัดแสดงภาพพุทธประวัติและต้นโพธิ์อธิษฐาน มีความสวยงามในเชิงสัญญะ แต่ละภาพบอกเล่าถึงความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพระพุทธศาสนา รวมถึงเรื่องราวต่างๆ ของพุทธประวัติ
ชั้นที่ 2 : ทำการจัดแสดงพระวินัยปิฎก รวมถึงนิทรรศการ พระราชาผู้ทรงธรรม และห้องโถงแห่งธรรม
ชั้นที่ 3 : ทำการจัดแสดงเรื่องราวของพระธรรมปิฎก และ พระธรรมขันธ์
ชั้นดาดฟ้า : จัดแสดงรูปปั้นหลวงพ่อคูณและสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความสูงรวม 42 เมตร
พิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญของวัด ที่ไม่ควรพลาดชมเป็นอันขาด ซึ่งตั้งอยู่ที่ศาลาการเปรียญ(หลังเดิม) ได้ถูกจัดสร้างขึ้นมาเพื่อนำเสนอเรื่องราวชีวประวัติของหลวงพ่อคูณ เริ่มตั้งแต่เยาว์วัย จนมาถึงการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ และยังวัตรปฏิบัติในสมณเพศที่ถือสันโดษและยังเป็นพระนักพัฒนา ทำให้แรงศรัทธาของมหาชนที่มีต่อหลวงพ่อคูณ รวมทั้งการบริจาคทานจำนวนมหาศาล เพื่อให้เป็นสาธารณประโยชน์ให้แก่ประชาชนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศและในบางส่วนในต่างประเทศ
ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้สะท้อนเรื่องราวต่างๆ ของหลวงพ่อคูณท่าน ผ่านภาพวาดจิตรกรรมที่สร้างสรรค์ขึ้น ทำการบอกเล่าภาพชีวิตตั้งแต่อดีต รวมไปถึงสิ่งของเครื่องใช้เป็นจำนวนมากมาย ซึ่งผู้ศรัทธาได้นำเอามาถวายแก่ท่าน ทั้งยังมีอัฐบริขารและเครื่องใช้จำเป็นในการครองสมณเพศ รวมไปถึงการจัดแสดงภาพเสมือนจริงที่จำลองบรรยากาศการออกธุดงค์ของท่าน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบารมีธรรมอันยิ่งใหญ่
มีประติมากรรมที่สื่อถึงผลบุญของการให้ทานอันเป็นวัตรปฏิบัติสำคัญของหลวงพ่อคูณ มหาทานของหลวงพ่อคูณที่ได้บริจาคเงินจำนวนมหาศาล เพื่อสาธารณประโยชน์ หลวงพ่อคูณยังได้บริจาคร่างกายเพื่อเป็นประโยชน์ในการศึกษา แสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่ในวิถีสันโดษอันเป็นวัตรปฏิบัติที่หลวงพ่อคูณได้ยึดถือมาตลอด
สถานที่ตั้งปัจจุบัน
สถานที่ตั้ง : ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
วัดเปิดเวลา – เวลาทำการ : วิหารเปิด 8.00-17.00 น.
วัดบ้านไร่ นั้นมีชื่อเสียงเนื่องจากมีหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เป็นเจ้าอาวาสกับภาพที่เราได้เห็นกันชินตา เมื่อพระเกจิอาจารย์ชื่อดังรูปหนึ่งได้ถือกิ่งไม้ขนาดเล็กๆ ในมือเดินเคาะศีรษะลูกศิษย์ลูกหาที่เลื่อมใสศรัทธาในตัวท่าน ไม่เว้นแม้แต่นักการเมือง ข้าราชการ ทหาร หรือ ตำรวจ ต่างก็ต้องมาให้ท่านเคาะหัวให้เพื่อความเป็นสิริมงคล เพราะท่านเป็นที่เคารพศรัทธาของคนทั้งประเทศ จึงทำให้วัดแห่งนี้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ถึงแม้ท่านจะมรณะภาพไปแล้ว แต่ยังคงมีผู้คนจากทุกสารทิศเดินทางมากราบไหว้ขอพรหลวงพ่อคูณ วัดดังโคราช เป็นจำนวนมากในทุกวันนี้ครับ